Featured News
Posts List
Posts Slider
Health
-
ปวดหัว บอกโรคอะไรได้บ้าง
ปวดหัว อาการที่พบได้บ่อย สามาารถบอกโรคอะไรได้บ้าง
ปวดหัว เป็นอาการที่พบได้บ่อย โดยแต่ละคนอาจมีลักษณะอาการและความรุนแรงของอาการปวดต่างกัน ตามปกติแล้วอาการปวดในชีวิตประจำวันมักไม่ได้เกิดจากโรคร้ายแรง ส่วนมากจะเกิดจากความเครียดจากการเรียนหรือการทำงาน การพักผ่อนไม่เพียงพอ และการที่ร่างกายขาดน้ำ ซึ่งสามารถหายได้ด้วยการดูแลตัวเอง และหากมีอาการรุนแรงควรไปพบแพทย์เพื่อรักษา
อาการปวดหัว แบบไหนเป็นโรคใดได้บ้าง
- ปวดข้างเดียว หากผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะข้างเดียวนั่นคืออาการของโรคไมเกรน อาจเป็นข้างใดข้างหนึ่งสลับกันไป โรคนี้มักจะมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น อาการปวดมักจะเกิดขึ้นเป็นชั่วโมง หรืออาจปวดนานหลายวัน
- ปวดแบบคลัสเตอร์ คือ อาการปวดรุนแรงบริเวณรอบดวงตา ลามไปจนขมับด้านใดด้านหนึ่ง มักจะปวดตุบ ๆ เป็นชุด ๆ ในเวลาที่แน่นอน เช่น มักปวดในช่วงเดือนนี้ของทุกปี โดยการปวดจะกินเวลานานหลายสัปดาห์ หรือเป็นเดือน อาการนี้มักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
- ปวดทั้งสองข้าง เป็นการปวดศีรษะจากความเครียดเป็นครั้งคราว มักเป็น ๆ หาย ๆ หรือปวดตั้งแต่ 30 นาทีขึ้นไป และอาจนานจนกินเวลาเป็นวันได้ ซึ่งมักพบร่วมกับการปวดไมเกรน หากมีอาการเกิดขึ้นน้อยกว่าครึ่งเดือนจะจัดว่าเป็นการปวดศีรษะจากความเครียดเป็นครั้งคราว แต่ถ้าหากมีอาการปวดมากกว่า 1-3 เดือนจะถือว่าเป็นการปวดศีรษะจากความเครียดแบบเรื้อรัง
- ปวดจากไซนัสทั้งสองข้าง มักมีอาการปวดบริเวณหน้าผาก สันจมูก รวมถึงโหนกแก้ม โดยอาการปวดจะรุนแรงขึ้นเมื่อผู้ป่วยก้มตัว หรือก้มศีรษะลง และมักมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น น้ำมูกไหล มีไข้ หรือใบหน้าบวม เป็นต้น
- ปวดจากเนื้องอกในสมอง จะมีอาการปวดแบบเป็น ๆ หาย ๆ และจะทวีความรุนแรงขึ้นในตอนกลางคืนจนผู้ป่วยต้องตื่นขึ้นมากลางดึก โรคนี้จะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมากเพราะอาการจะกำเริบตอนเคลื่อนไหวร่างกาย และมักจะมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ทรงตัวลำบาก สายตาพร่ามัว ไม่มีสมาธิ เป็นต้น
อาการปวดหัว มีสาเหตุและวิธีการรักษาอย่างไรบ้าง
สาเหตุของอาการ มาจาก 3 ส่วนใหญ่
- อาการปวดศีรษะแบบปฐมภูมิ เป็นกลุ่มที่พบบ่อยในกลุ่มอาการปวดศีรษะจากไมเกรน อาการปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ เกิดจากระบบรับความรู้สึกในประสาทและสมองเกิดการทำงานผิดปกติ โดยอาการอาจเกิดขึ้นพร้อมกันได้ในเวลาเดียวกัน
- อาการปวดศีรษะแบบทุติยภูมิ เกิดจากความผิดปกติของโครงสร้างบริเวณศีรษะและคอ มีสาเหตุมาจากความผิดปกติในสมอง เช่น เนื้องอกในสมอง หลอดเลือดอุดตันในสมอง และอาจเกิดจากอวัยวะบริเวณรอบๆ สมองได้อีกด้วย เช่น ไซนัสอักเสบ เป็นต้น
- อาการปวดศีรษะจากเส้นประสาทและอื่นๆ เกิดจากการอักเสบของเส้นประสาท เมื่อเกิดการอักเสบจะมีผลต่อใบหน้าทำให้เกิดอาการปวดบริเวณใบหน้าอย่างรุนแรง
การรักษาโรคปวดศีรษะ
- การรับประทานยา แพทย์จะพิจารณาตามอาการของผู้ป่วย หากผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะที่เกิดจากไมเกรนแพทย์จะให้รับประทานยาเพื่อบรรเทาอาการปวด หากผู้ป่วยมีอาการปวดหัวแบบคลัสเตอร์จะมีการจ่ายยาระงับอาการทางจิต และยาต้านชักร่วมด้วย
- การบำบัด วิธีนี้จะเหมาะกับผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านการเคลื่อนไหว เพื่อลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ เช่น การนั่งสมาธิ การนวดบำบัด เป็นต้
การป้องกันตนเองจากโรคปวดศีรษะ
อาการปวดศีรษะมักมีเหตุมาจากความเครียด เมื่อเราเครียดจะทำให้นอนไม่หลับ และเกิดการพักผ่อนไม่เพียงพอ การป้องกันตัวเองที่ดีที่สุดคือ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ พยายามไปเครียดจนเกินไป หลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดความเครียด เช่น การอดอาหาร การอดนอน เป็นต้น
อาการปวดหัวแบบไหนต้องรีบไปพบแพทย์
- ปวดรุนแรงแบบทันที
- ปวดแบบเรื้อรังเป็นๆ หายๆ
- ปวดและมีอาการชา แขนขาอ่อนแรงร่วมด้วย
- ปวดชนิดที่ไม่เหมือนเดิม แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
- ปวดข้างเดียว หรือสองข้าง ปวดตุบๆ จนรบกวนชีวิตประจำวัน
- ปวดและคลื่นไส้
- ปวดทานยาแล้ว แต่อาการยังไม่ดีขึ้น
- ปวดในบริเวณบาดเจ็บที่ศีรษะ
9 วิธีแก้ปวดหัวง่ายๆ ที่ทำได้เอง
1. พักผ่อนให้เพียงพอ
อาการปวดหัวอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายต้องการการพักผ่อน เมื่อมีอาการปวดอาจลองหยุดทำงานและพักสายตาหรืองีบสัก 10 นาที เพราะการทำงานต่อทั้งที่มีอาการจะยิ่งทำให้ปวดมากขึ้น และบางครั้งอาจเกิดจากการนอนไม่พอหรือความผิดปกติด้านการนอน เช่น นอนไม่หลับ หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับซึ่งอาจทำให้ปวดเรื้อรัง
เพื่อการนอนที่มีคุณภาพ ควรเข้านอนและตื่นนอนให้เป็นเวลา ซึ่งระยะเวลาการนอนที่เหมาะสมของผู้ใหญ่โดยทั่วไปคือวันละ 7–9 ชั่วโมง เพราะหากนอนมากไปก็อาจกระตุ้นให้เกิดอาการได้เช่นกัน และก่อนเข้านอนควรทำกิจกรรมที่ช่วยให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย เช่น อาบน้ำอุ่น และอ่านหนังสือ หลีกเลี่ยงการดูโทรทัศน์ เล่นอินเทอร์เน็ต และดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ ซึ่งจะทำให้นอนหลับยาก
2. จิบชาอุ่นๆ และดื่มน้ำให้เพียงพอ
การดื่มชาสมุนไพรอุ่นๆ เช่น ชาขิง ชาคาโมมายล์ (Chamomile Tea) และชาเปปเปอร์มินต์ (Peppermint Tea) ที่มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการเป็นวิธีแก้ปวดหัวที่แนะนำเช่นกัน แต่ผู้มีโรคประจำตัวหรือใช้ยารักษาโรคใดๆ อยู่ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนดื่มชาสมุนไพร เพราะสมุนไพรเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อโรคที่เป็นอยู่และประสิทธิภาพของยาได้
นอกจากนี้ การดื่มน้ำเปล่าอย่างเพียงพอในแต่ละวันจะช่วยป้องกันภาวะขาดน้ำที่อาจเป็นสาเหตุของอาการได้ โดยทางกระทรวงสาธาณสุขแนะนำให้ดื่มน้ำวันละ 8–10 แก้ว ทั้งนี้ ปริมาณการดื่มน้ำของแต่ละคนจะแตกต่างกันตามเพศ ช่วงวัย และกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน และควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะอาจไปกระตุ้นให้เกิดอาการปวดมากขึ้น
3. ประคบเย็น
วิธีแก้อีกวิธีคือการประคบเย็น โดยให้ใช้ผ้าชุบน้ำเย็น เจลเย็นสำเร็จรูป หรือน้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ ห่อด้วยผ้าสะอาดแล้วนำมาประคบบริเวณที่รู้สึกปวด เช่น หน้าผาก ขมับ รอบดวงตา และท้ายทอย ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบ ชะลอการทำงานของเส้นประสาท และทำให้หลอดเลือดหดตัว จึงช่วยให้อาการดีขึ้นได้
4. อโรมาเธอราพี (Aromatherapy)
อโรมาเธอราพีเป็นการนำน้ำมันหอมระเหยมาใช้ในการบำบัดและรักษาโรค โดยน้ำมันหอมระเหยบางชนิดนั้นมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการปวดหัว เช่น น้ำมันลาเวนเดอร์และน้ำมันเปปเปอร์มินต์ โดยสามารถสูดดม สเปรย์ลงบนหมอน หยดลงในอ่างอาบน้ำ และนวดบริเวณศีรษะ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และทำให้รู้สึกผ่อนคลาย อย่างไรก็ตาม น้ำมันหอมระเหยบางชนิดมีความเข้มข้นสูง การสูดดมหรือทาลงบนผิวหนังโดยตรงอาจทำให้แสบจมูกระคายเคืองผิวและเกิดอาการแพ้ได้ จึงต้องเจือจางกับน้ำมันชนิดอื่นก่อนใช้ เช่น โจโจบาออยล์
5. ทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย
การทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้ผล เช่น เล่นโยคะ ฝึกการหายใจ นั่งสมาธิ ชมภาพยนตร์ เล่นเกมเพื่อผ่อนคลาย รวมถึงฟังเพลง อย่างไรก็ตาม เพลงที่เลือกฟังเพื่อผ่อนคลายควรเป็นเพลงที่มีจังหวะช้าๆ ฟังสบาย ไม่ควรเลือกเพลงที่มีจังหวะรุนแรง เพราะในบางคนอาจทำให้เกิดความรู้สึกตึงเครียดมากขึ้นได้
6. ฝังเข็ม
การฝังเข็มเป็นการรักษาแบบแพทย์ทางเลือกที่เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของพลังงานในร่างกาย และช่วยบรรเทาอาการได้ อย่างไรก็ตาม ผู้มีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับการฝังเข็ม และควรเลือกฝังเข็มกับแพทย์ที่ได้รับใบอนุญาตฝังเข็มอย่างถูกต้อง
7. ปรับการรับประทานอาหาร
บางครั้งอาการปวดหัวอาจเกิดจากการไม่ได้รับประทานอาหาร ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง จึงควรแบ่งรับประทานอาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ ตลอดทั้งวันแทนการรับประทานอาหารมื้อหลักในปริมาณมาก ซึ่งช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่มากขึ้น โดยเฉพาะอาหารที่มีแมกนีเซียมสูงเช่น เมล็ดฟักทอง เมล็ดเชีย อัลมอนด์ ผักโขม และถั่วดำ ซึ่งอาจช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้
นอกจากนี้ อาหารบางอย่างที่เรารับประทานอาจมีสารกระตุ้นให้เกิดอาการ เช่น ผงชูรสในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ชา กาแฟและช็อคโกแลตที่มีคาเฟอีน เนื้อสัตว์แปรรูป อย่างเบคอนและไส้กรอกที่มีสารไนเตรทสูง และเนื้อสัตว์รมควันและชีสบ่มที่มีสารไทรามีน (Tyramine) ผู้มีอาการปวดหัวบ่อยจึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเหล่านี้
8. หลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นอาการ
การอยู่ในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน เสียงดัง มีกลิ่นฉุนหรือกลิ่นเหม็น และที่กลางแจ้งที่มีแสงแดดจัด อาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวได้มากขึ้น โดยอาการของแต่ละคนอาจเกิดขึ้นในสถานการณ์ต่างกัน จึงควรสังเกตปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการและหลีกเลี่ยงสถานที่นั้นก็อาจช่วยให้อาการดีขึ้นได้
9. รับประทานยาแก้ปวดหัว
หากลองใช้วิธีอื่นๆ ที่กล่าวมาข้างต้นแล้วยังไม่ได้ผล อาจเลือกใช้วิธีการรับประทานยาแก้ปวดที่หาซื้อได้เอง เช่น ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) เป็นวิธีแก้ปวดหัวที่หลายคนคุ้นเคยกันดี ซึ่งช่วยบรรเทาอาการที่ไม่รุนแรงมากให้ดีขึ้น ผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัมขึ้นไปให้รับประทานครั้งละ 500–1,000 มิลลิกรัม ทุก 4–6 ชั่วโมง และรับประทานไม่เกิน 4,000 มิลลิกรัมต่อวัน
นอกจากยาพาราเซตามอล บางคนอาจรับประทานยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs เช่น ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือยาแอสไพริน (Aspirin) ซึ่งยามีข้อควรระวังคือ ไม่ควรใช้ในผู้ป่วยโรคตับและโรคไต และผู้มีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด
ยาไอบูโพรเฟนและแอสไพรินควรใช้ด้วยความระมัดระวัง ผู้ที่ปัญหากระเพาะอาหารอักเสบหรือมีแผลในกระเพาะอาหารควรหลีกเลี่ยงการใช้ และห้ามใช้ยาแอสไพรินในเด็กที่อายุน้อยกว่า 18 ปี เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้
หากดูแลตัวเองด้วยวิธีแก้ปวดหัวข้างต้นแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ปวดบ่อยและปวดรุนแรง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรักษาอย่างเหมาะสม รวมทั้งผู้ที่มีอาการรุนแรงอย่างเฉียบพลัน ปวดหลังประสบอุบัติเหตุหรือบาดเจ็บที่ศีรษะ หรือมีอาการผิดปกติอื่นร่วมด้วย เช่น มีไข้ คอแข็งเกร็ง ผื่นขึ้น ตาพร่า ร่างกายอ่อนแรง สับสน พูดไม่ชัด และชัก ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
ที่มา
- https://www.petcharavejhospital.com/th/Article/article_detail/HEADACHE
- https://www.sikarin.com/health/
- https://www.pobpad.com/
- https://www.pexels.com/th-th/photo/7278794/
- https://www.pexels.com/th-th/photo/3752834/
ติดตามอ่านเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพได้ที่ justgrillit.com สนับสนุนโดย ufabet369
Economy
-
Oxford East MP สนับสนุนโดยรายงานรถไฟฟ้าขนาดเล็ก
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนหนึ่งกล่าวว่า เธอได้รับการสนับสนุนจากรายงานว่าผู้ผลิตรถไฟฟ้า BMW อาจลงทุนสูงถึง 600 ล้านปอนด์ในโรงงานขนาดเล็กใกล้กับอ็อกซ์ฟอร์ด
BBC เข้าใจดีว่าเงินดังกล่าวคาดว่าจะใช้เพื่อเตรียมโรงงาน Cowley สำหรับการสร้างโมเดลไฟฟ้าในอนาคต
Minis รถไฟฟ้ารุ่นแรกเปิดตัวที่นั่นในปี 2019
Anneliese Dodds ส.ส.ของ Oxford East กล่าวว่า “หวังว่าเราจะได้เห็นงานเหล่านั้นและอนาคตของโรงงานที่ได้รับการยืนยันในไม่ช้านี้”
เมื่อปีที่แล้ว บริษัทประกาศว่าการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่จะย้ายไปที่ประเทศจีน โดยรุ่นหนึ่งคือ Countryman จะสร้างที่เมืองไลพ์ซิก ประเทศเยอรมนี
‘แบรนด์สัญลักษณ์’
ในเวลานั้น BMW แนะนำว่าการสร้างรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงธรรมดาและ รถไฟฟ้า ในโรงงานเดียวกันนั้นไม่มีประสิทธิภาพMs Dodds กล่าวว่า “ปัจจุบัน โรงงาน Cowley ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงงานที่มีประสิทธิผลมากที่สุดในกลุ่มบริษัท BMW ทั้งหมด สามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์สันดาปภายในในสายการประกอบเดียวกันได้ นับเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งทีเดียว
“แต่เมื่อเรามองไปที่การเลิกใช้รถยนต์เบนซินและดีเซลในปี 2573 การมีเพียงบรรทัดเดียวจะมีประสิทธิภาพมากกว่า ดังนั้นผมจึงคิดว่านั่นจะเป็นส่วนที่เราให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก”
เธอเสริมว่า: “BMW คือ Cowley, Cowley คือ BMW โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Mini นั้นสำคัญมากสำหรับเรา มันเป็นแบรนด์อังกฤษที่เป็นสัญลักษณ์ของอังกฤษ และเราจำเป็นต้องเห็นว่ามันถูกสร้างขึ้นในรูปแบบไฟฟ้าใน Cowley”
Ms Dodds อ้างว่า Oxford เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะเป็นเจ้าภาพผลิต รถไฟฟ้า Mini ไฟฟ้า เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐาน และ “พนักงานที่ยอดเยี่ยมที่เราได้รับที่นี่มาเป็นเวลานาน”
เธอยังอ้างถึงความร่วมมือด้านการวิจัยล่าสุดระหว่างนักศึกษามหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดและกลุ่มบริษัท BMW ว่าเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้อ็อกซ์ฟอร์ดเป็นสถานที่ที่ “น่าตื่นเต้น” สำหรับมินิ
รัฐบาลได้ให้การสนับสนุนมูลค่า 75 ล้านปอนด์แก่ BMW จากกองทุน Automotive Transformation Fund
BMW ลงทุนในโรงงานที่อ็อกซ์ฟอร์ด มีแผนผลิตรถมินิพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น
ผู้ผลิตรถยนต์ BMW กำลังเตรียมลงทุนสูงถึง 600 ล้านปอนด์ในโรงงานรถมินิที่ Cowley ใกล้กับอ็อกซ์ฟอร์ด BBC เข้าใจดี
เงินดังกล่าวคาดว่าจะนำไปใช้ในการเตรียมโรงงานสำหรับโมเดลไฟฟ้าในอาคารในอนาคต
รัฐบาลได้ให้การสนับสนุนมูลค่า 75 ล้านปอนด์แก่ BMW
รถมินิพลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกเปิดตัวที่โรงงาน Cowley ในปี 2019 รุ่นเดิมมีพื้นฐานมาจากการออกแบบที่มีอยู่ โดยดัดแปลงให้ทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่
แต่เมื่อปีที่แล้ว บริษัทประกาศว่าการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่จะย้ายไปที่ประเทศจีน ซึ่งสร้างโดยบริษัทร่วมทุนระหว่าง BMW และ Great Wall Motor
โมเดล รถไฟฟ้า หนึ่งคัน Countryman จะสร้างที่เมืองไลพ์ซิกในเยอรมนี
ในเวลานั้น BMW เสนอว่าการสร้างทั้งรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงธรรมดาและรถยนต์ไฟฟ้าในโรงงานเดียวกันนั้นไม่มีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ยังยืนยันว่าอ็อกซ์ฟอร์ดจะยังคงเป็น “บ้านของมินิ” ต่อไป และจะไม่มีการตกงาน
อย่างไรก็ตาม ด้วยการจำหน่ายรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันเบนซินและดีเซลรุ่นใหม่ซึ่งจะสิ้นสุดในปี 2573 โรงงานจะต้องสร้างรถยนต์ไฟฟ้าอีกครั้งในท้ายที่สุด หากต้องดำเนินการต่อไป
Minis ทั้งหมดจะใช้ไฟฟ้าภายในปี 2030
ในแถลงการณ์ BMW กล่าวว่ามี “การเจรจาอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิผลกับรัฐบาลสหราชอาณาจักร” แต่ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแผนการผลิตในอนาคต
การประกาศจาก BMW จะเป็นการเคลื่อนไหวเชิงบวก
ในช่วงเวลาที่นักวิเคราะห์ตั้งข้อสงสัยถึงอนาคตของอุตสาหกรรมรถยนต์ในอังกฤษ โดยภาคส่วนนี้กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งทั่วโลก
ในปี 2565 การผลิตในสหราชอาณาจักรลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2499 ตามตัวเลขจากสมาคมผู้ผลิตและผู้ค้ายานยนต์
โรงงานของ Honda ใน Swindon ปิดในปี 2021 ในขณะที่ Ford ปิดโรงงานเครื่องยนต์ใน Bridgend เมื่อปีที่แล้ว
ในเดือนมกราคม Britishvolt ซึ่งวางแผนสร้างโรงงานแบตเตอรี่ “gigafactory” ใกล้กับเมือง Blyth ได้ยุบตัวลงบริหาร
บริษัทนี้ถูกซื้อโดยบริษัท Recharge Industries ของออสเตรเลีย แต่คาดว่าจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าอีกต่อไป
อย่างไรก็ตามมีการวางแผนการลงทุนใหม่บางส่วน
Ford กำลังลงทุน 380 ล้านปอนด์ในโรงงาน Halewood เพื่อเตรียมสร้างมอเตอร์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า Stellantis กำลังเตรียมโรงงาน Ellesmere Port ใน Cheshire เพื่อสร้างรถตู้ไฟฟ้า ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากเงินสาธารณะ 100 ล้านปอนด์
เงินทุนของรัฐบาลในระดับใกล้เคียงกันยังนำไปใช้ในการก่อสร้างโรงงานขนาดยักษ์ที่อยู่ติดกับโรงงานของนิสสันในซันเดอร์แลนด์ ซึ่งเป็นสถานที่สร้างลีฟไฟฟ้า
แต่เมื่อเดือนที่แล้ว ผู้บริหารระดับสูงของ Nissan เตือนว่าจำเป็นต้องมีการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากรัฐบาลและการลดต้นทุนการผลิตเพื่อสร้างเหตุผลในการสร้างรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นอื่นๆ ในประเทศนี้
Ashwani Gupta หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการกล่าวกับ BBC ว่า
“เศรษฐกิจต้องทำงาน”
เป็นที่รู้กันว่ารัฐบาลมีความกระตือรือร้นที่จะให้สหราชอาณาจักรเข้ามามีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าที่เกิดขึ้นใหม่
75 ล้านปอนด์ที่เสนอให้กับ BMW มาจากกองทุน Automotive Transformation Fund ของรัฐบาล
นอกจากนี้ รัฐบาลยังเข้าใจว่ากำลังเจรจากับบริษัทแม่ของ Jaguar Land Rover Tata เกี่ยวกับการจัดหาเงินทุนสำหรับโรงงานขนาดใหญ่ที่เป็นไปได้ที่นี่
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าสเปนกำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการเพื่อการลงทุนดังกล่าว
เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจในเว็บของเรา
ซน จุน-โฮ ถูกทางการจีนควบคุมตัวในข้อหาติดสินบน
รีวิวเกม Dredge – ยกระดับการตกปลาด้วย Lovecraftia
ลูก้า โมดริช เซ็นสัญญาใหม่ 1 ปีกับเรอัล มาดริด
แมนฯ ซิตี้ ดับ แมนฯ ยูไนเต็ด 2-1 ผงาดแชมป์ เอฟเอคัพ
ขอบคุณรูปภาพจาก pexels.com
แหล่งที่มา https://www.bbc.com/news/business
สามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ justgrillit.com
Latest News
คำแนะนำMLS เบล ต่อเมสซี่’พวกเขายอมรับการสูญเสียมากกว่านี้’
นักเตะชื่อดัง เบล ออกมาให...
มาร์กอส คาฟู ข้องใจอันเช่จะย้ายมาทำงานกับบราซิลหรือไม่
มาร์กอส คาฟู ข้องใจอันเช่...